สหรัฐอเมริกา

http://www.studysqr.com/  / อเมริกา

ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ อเมริกา เป็นประเทศที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยมีพื้นที่ถึง 9.9 ล้านตาราง กิโลเมตร(เทียบเท่ากับ 18 เท่าของพื้นที่ประเทศไทย) ส่วนกว้างของอเมริกาจากฝั่งมหาสมุทร แปซิฟิกทางด้านตะวันตกไปจนจรดมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันออก มีความกว้างถึง 4,500 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมง ทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับ ประเทศ แคนาดา ทิศใต้ติดกับประเทศเม็กซิโกและอ่าวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือ ประกอบไปด้วยรัฐ50 รัฐ โดยมีมลรัฐ Alaska อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคนาดาและมีมลรัฐฮาวายอยู่ทาง ตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิก มีเนื้อที่ประมาณ 9,631,418 ตารางกิโลเมตรเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและแคนาดา

อเมริกา

ข้อมูลทั่วไป อเมริกา

  1. ลักษณะทางภูมิศาสตร์ อเมริกา

    ที่ตั้งอเมริกา : ทวีปอเมริกาเหนือ ทิศตะวันออกจรดมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทิศตะวันตก
    จรดมหาสมุทรแปซิฟิ กเหนือ อยูระหว่างประเทศแคนาดา ประเทศเม็กซิโก
    และทิศใต้จรดอ่าวเม็กซิโก
    พื้นที่ อเมริกา : ทั้งหมด 9,826,630 ตารางกิโลเมตร
    หมายเหตุ: รวมถึง 50 รัฐ และ District of Columbia
    ที่ดิน อเมริกา : 9,161,923 ตารางกิโลเมตร
    นํ้า : 664,707 ตารางกิโลเมตร
    ดินแดนอาณาเขต : ทั้งหมด: 12,034 กิโลเมตร
    แนวชายแดน : พื้นที่อาณาเขตติดกับแคนาดา 8,893 กิโลเมตรและเม็กซิโก 3,141 กิโลเมตร
    หมายเหตุ: ฐานทัพเรือของสหรัฐฯ ในอ่าวกวนตานาโมของคิวบา มีพื้นที่28 ตารางกิโลเมตร โดยสหรัฐฯ เป็ นผู้ขอเช่าใช้ที่ดังกล่าว
    เขตชายฝั่ง อเมริกา : 19,924 กิโลเมตรการอ้างสิทธิ์เหนือเขตแดนทาง
    ทะเลสหรัฐ อเมริกา : ทะเลในอาณาเขต: 12 ไมล์ทะเลเขตต่อเนื่อง (contiguous zone) : 24 ไมล์ทะเล
    เขตเศรษฐกิจจําเพาะ (exclusive economic zone) : 200 ไมล์ทะเล
    เมืองหลวง อเมริกา : กรุงวอชิงตัน (Washington, D.C.) ในเขต District of Columbia

    ภูมิอากาศ สหรัฐอเมริกา : ส่วนใหญ่อากาศปานกลาง แต่ร้อนชื้นในฟลอริดา และฮาวาย
    อุณหภูมิตํ่ากวาจุดเยือกแข็งใน อลาสกา ส่วนบริเวณที่ราบด้านตะวันตกของแม่นํ้ามิสซิสซิปปี (Mississippi) จะค่อนข้างแห้งแล้งและมีความแห้งแล้งมาก
    บริเวณที่ลุ่มภาคตะวันตกเฉียงใต้ มลรัฐฮาวายและมลรัฐฟลอริดามีอากาศร้อน
    ภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีอุณหภูมิตํ่าในช่วงฤดูหนาว ซึ่งจะมีอากาศดีขึ้นเป็ น
    ครั้งคราวในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์โดยจะได้รับความอบอุ่นจากลมของ
    เนินเขาด้านตะวันออกของเทือกเขาร๊อกกี้
    ภูมิประเทศ อเมริกา : ตอนกลางของประเทศเป็ นที่ราบ มีชายฝั่งยาวด้านตะวันออกและตะวันตกของ
    ประเทศ มีภูเขา Rocky ด้านฝั่งตะวันตกและ ภูเขา Appalachian ด้านฝั่งตะวันออก เขตภูเขาไฟในฮาวาย
    ทรัพยากรธรรมชาติ: ถ่านหิน ทองแดง ตะกว โมลีเดบนัม ฟอสเฟส ยูเรเนียม บอกไซด์ทองคํา เหล็ก
    ปรอท นิกเกิล โปแตส เงิน ทังสเตน สังกะสี ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้

    ภูเขาร็อกกี้ อเมริกา
    ภัยธรรมชาติ:
    บริเวณรอบๆ มหาสมุทรแปซิฟิ ก – สึนามิ ภูเขาไฟระเบิด แผนดินไหว บริเวณรอบๆ มหาสมุทรแอตแลนติกและอ่าวเม็กซิโก– เฮอริเคนพื้นที่ตอนกลางด้านตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ – ทอร์นาโดแคลิฟอร์เนีย –โคลนถล่ม / ภาคตะวันตก -ไฟป่า / อลาสกาตอนเหนือ- นํ้าท่วมและดินเป็นนํ้าแข็ง สภาพแวดล้อม
    (ปัญหาปัจจุบัน) : มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดฝนกรดในสหรัฐฯ และแคนาดา โดยสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยสาร CO2จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงมากที่สุด มลพิษทางนํ้าจากการชะล้างยาฆ่าแมลงและปุ๋ย การมีนํ้
    าจืดจํานวนจํากดทางตะวันตกของ ประเทศ ซึ่งจําเป็นต้องมีการบริหารจัดการอยางดี
    เวลา อเมริกา : ฝั่งตะวันออกช้ากวาประเทศไทย 12 ชม.และฝั่งตะวันตกช้ากวาประเทศไทย 15 ชม.
    วันชาติ อเมริกา: 4 กรกฎาคม1.2 ประชาชน ประชากร: 310.3 ล้านคน (ปี 2553)
    อัตราการเจริญเติบโตของประชากร 0.963 % (ประมาณการปี 2554)
    สัญชาติ: อเมริกัน (American)

    กลุ่มชนพื้นเมือง อเมริกา : ผิวขาว80% ผิวดํา 12.9% เอเชีย4.4% คนอเมริกนอินเดียนและชาวพื้นเมืองอลาสกา 1%, ชาวฮาวายเอียนและชาวเกาะแปซิฟิ ก 0.2% (ประมาณการปี 2550)
    ศาสนาใน อเมริกา : โปรแตสแตนท์ 51.3% โรมันคาทอลิก23.9% มอร์มอน 1.7% คริสเตียนอื่นๆ 1.6% ยิว1.7% พุทธ 0.7% มุสลิม0.6% อื่นๆ 2.5%, ไม่ประกาศตัว 12.1% ไม่มีศาสนา 4% (ประมาณการปี 2550)
    ภาษาราชการ: อังกฤษ 82.1% (ภาษาราชการ ยกเว้นรัฐฮาวายที่ใช้ภาษาฮาวายเป็นภาษาราชการ) สแปนนิช 10.7% อื่นๆ 7.2%

  2. ประวัติศาสตร์ อเมริกา

    ยุคเริ่มต้น อเมริกา
    ประวัติศาสตร์อเมริกาเริ่มต้นจากโคลัมบัส นักเดินเรือชาวอิตาลีต้องการค้นพบโลกใหม่เพื่อที่จะเดินทางไปอินเดียและจีน เพราะ มาโคโปโล นักเดินเรือยุคโบราณได้เขียนเรื่องเล่าเรื่องเรื่องราวถึงความมั่งคั่งของเมืองจีนที่ทุกอย่างฉาบไปด้วยทองคำ เมืองจีนทำให้ฝรั่งตื่นเต้นโคลัมบัสจึงคิดต่อเรือเดินทางและหาผู้สนับสนุน แต่การหาผู้สนับสนุนสมัยนั้นยากมาก เพราะยุโรปอยู่ในช่วงสงครามและคนก็เห็นว่าความคิดของโคลัมบัสบ๊องๆ ไม่ได้เรื่อง เพราะคนในสมัยก่อนเชื่อว่าโลกแบน แต่โคลัมบัสเชื่อว่าโลกกลมแต่มีพระนางอิซซาเบลลา ราชินีในกษัตริย์เฟอดินันแห่งสเปนให้การช่วยเหลือโดยการให้ขบวนเรือมา 3 ลำพร้อมกับลูกเรือ เสบียงอาหารในการเดินทาง แล้วโคลัมบัสก็แล่นเรือไปเรื่อยๆ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปเป็นเวลานานจนลูกเรือบางคนถึงกับถอดใจเพราะไม่เห็นฝั่งสักทีแต่แล้วในที่สุดก็เจอแผ่นดิน โคลัมบัสคิดว่าเป็นอินเดียจึงตั้งชื่อว่าเวสต์อินดิส แต่ที่จริงแล้วคือหมู่เกาะบาฮามาสในปัจจุบัน แต่แล้วเมื่อโคลัมบัสได้พบกับพวกชนพื้นเมืองในหมู่เกาะแห่งนั้นจึงรู้ว่าไม่ใช่จีนและอินเดีย เป็นผืนแผ่นดินใหม่ที่ยังไม่มีใครค้นพบมาก่อนโคลัมบัสได้ทองคำจากดินแดนแห่งนั้นแล้วก็กลับไปยังสเปน กษัตริย์สเปนทรงต้อนรับโคลัมบัสอย่างเอิกเกริกและทรงโปรดให้โคลัมบัสไปสร้างเมืองขึ้น

    ประวัติศาสตร์อเมริกา

    โคลัมบัสได้เดินทางออกไปอีกและได้ค้นพบทวีปอเมริกาใต้ โคลัมบัสได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าหลวงปกครองดินแดนในแถบนั้น แต่มีขุนนางที่ไม่พอใจโคลัมบัสได้ใส่ร้ายป้ายสีโคลัมบัสว่าไม่มีความจงรักภักดี สุดท้าย โคลัมบัสจึงต้องถูกจองจำจนสิ้นชีวิตในโลกที่เข้าค้นพบนั่นเองเมื่อได้ข่าวว่าโคลัมบัสค้นพบโลกใหม่ อเมริโก เวสปุกชี นักเดินเรือชาวอิตาลีก็ได้พยายามเดินทางไปทางเดียวกับโคลัมบัสด้วย แต่เขาโชคดีกว่าโคลัมบัสเพราะมีคนสนับสนุนมาก และเขาได้เบนหัวเรือขึ้นทางทิศเหนือจนค้นพบทวีปอเมริกาทวีปอเมริกาก็ตั้งชื่อตามอเมริโก เวสปุกชี คนนี้นี่เอง

    กิตติศัพท์ว่าโคลัมบัสพบของมีค่ามากมายในดินแดนอเมริกา ทำให้ชาวยุโรปต่างพากันตื่นเต้นและเตรียมอพยพไปอยู่อเมริกาเพื่อหาทองคำและสิ่งมีค่า เช่น สเปน ฮอลันดา อิตาลี ฝรั่งเศส สวีเดนและอังกฤษ ในสมัยแรกๆ ที่เข้าไปนั้นก็มีความเคารพพวกอินเดียแดงอันเป็นชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ก่อน แต่ภายหลังก็ได้มีการทะเลาะเบาะแว้งแย้งที่ดินทำมาหากินกัน มีการรบราฆ่าฟัน ชาวยุโรปบ้างก็จับชาวอินเดียแดงไปเป็นทาสในยุโรป พวกอินเดียนแดงจึงได้เกลียดชังคนขาวมาก

    ยุคสร้างอาณานิคม
    ชาวอังกฤษเป็นพวกแรกที่ไปตั้งบ้านเรือนอยู่มากในอมริกา เมืองแรกที่ตั้งขึ้นมาคือเมืองเวอร์จิเนีย ต่อมาได้พยายามสร้างเมืองขึ้นอีกแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จเท่าไหร่ เพราะประสบความยุ่งยากและการลอบทำร้ายจากพวกอินเดียนแดงอย่างไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งปี พ.ศ.2150 อังกฤษมีการสร้างอาณานิคมในอเมริกากันอย่างจริงจัง โดยกัปตันจอห์น สมิท ได้คุมคนอังกฤษมาลงหลักปักฐานที่อเมริกาเป็นจำนวนมากและได้ทำสัญญากับพวกอินเดียนแดงในแถบนั้นว่าจะเป็นมิตรไมตรีต่อกัน ไม่ทำร้ายกัน


    คราวหนึ่ง กัปตันสมิทได้ออกเดินทางไปสำรวจแม่น้ำชิกฮัมเมนิ ได้ถูกลอบทำร้ายโดยยอินเดียนแดงอีกกลุ่มหนึ่ง กัปตันสมิทฆ่าพวกอินเดียนแดงตายไปสามคน แต่ตัวเขาเองก็ถูกพวกอินเดียนแดงจับไว้ได้ เปาแฮตแตน หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงคิดจะฆ่ากัปตันสมิทแต่ลูกสาวของเขา โปเกอันตัส (โพคาฮอนทัสอ่ะแหละ) ซึ่งมีความสนิทสนมกับคนอังกฤษได้ขอเอาไว้ กัปตันสมิทเลยรอดตาย และเพื่อเป็นการผูกสัมพันธไมตรีกันระหว่างชาวอินเดียนแดงและชาวอังกฤษ

    ขุนนางชาวอังกฤษชื่อว่าจอห์น รอฟ ได้สู่ขอโปเกฮันตัสจากเปาแฮตแตนและพาโปเกฮัสตัสกลับลอนดอน โปเกฮัสตัสเสียชีวิตเพราะผิดอากาศหลังจากเดินทางไปถึงลอนดอนได้ไม่นานชาวอังกฤษได้พยายามตั้งอาณานิคมขึ้นอีก ชื่อว่าเมืองนิวอิงแลนด์ และได้มีการตั้งบริษัทการค้า ส่งคนไปยังอเมริกา และมีการลำเลียงของจากอังกฤษไปขายในอเมริกาด้วย เช่น บริษัทพรีมัท บริษัทลอนดอนกัปปะนี

    ขณะนั้น กัปตันฮัดสันจากบริษัทดัชท์อีสอินเดียกัปปะนีได้คนพบแม่น้ำฮัดสันและอ่าวฮัดสัน กัปตันฮัดสันได้เจรจาขอซื้อเกาะจากแมนฮัตตัน หัวหน้าเผ่าอินเดียแดงด้วยเงินเพียง 24 ปอนด์ ทางการฮอลันดาได้แบ่งที่ดินริมแม่น้ำฮัดสันออกเป็นสองส่วน คือ นิวเนเธอร์แลนด์และนิวอัมสเตอร์ดัม ต่อมาฮอลันดาพ่ายแพ้อังกฤษในการพิพาท จึงยกหัวเมืองในอเมริกาให้แก่อังกฤษ ทางการอังกฤษก็เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นนิวยอร์คต่อมาคนเข้ามาอาศัยอยู่รวมกันมากขึ้น จึงได้รวมเอาหลายๆ กลุ่มบ้านมาเป็นเมืองเดียว เช่น แมตซาซูเซตต์ ได้ชื่อมาจากหัวหน้าเผ่าอินเดียแดงในละแวกนั้น เมืองกอนเนตติกัน และได้มีเมืองเกิดใหม่มากมาย เช่น เมืองโรดไอแลนด์ เมืองนิวแฮมเชียร์ เมืองแมรีแลนด์ เมืองเพนซิลวาเนีย

    การประกาศอิสระภาพของ อเมริกา
    ต่อมา รัฐบาลอังกฤษไม่มีความเป็นธรรมในการดูแลหัวเมืองต่างๆ ใน อเมริกา โดยการรีดภาษีจากประชาชนมากมาย ห้ามคนอังกฤษไปตั้งรกรากที่อเมริกาอีก และได้แต่งตั้งข้าหลวงมาดูแลคนอังกฤษในอเมริกาอย่างเข้มงวดคนอเมริกันได้ขอส่งผู้แทนเข้าประชุมในสภาอังกฤษด้วย แต่อังกฤษปฏิเสธและได้ออกกฎหมายภาษีมากขึ้นไปอีก ทำให้ชาวอเมริกันโกรธมากและกะกันว่าจะไม่ซื้อสินค้าจากอังกฤษ ในที่สุด อังกฤษยินยอมยกเลิกภาษีแต่ได้ส่งเรือรบอังกฤษเข้ามาประจำที่อ่าวบอสตันเพื่อควบคุมดูแลการค้ากับอังกฤษให้เป็นระเบียบเรียบร้อย


    แต่ชาวอเมริกันไม่พอใจที่เรือรบอังกฤษวางอำนาจใหญ่ จึงลอบวางเพลิงเรือรบอังกฤษ ทำให้อังกฤษประกาศผิดอ่าวบอสตันและเตรียมปราบอเมริกันด้วยคมอาวุธฝ่ายอเมริกันก็เตรียมหาทางป้องกันตนเองจากอังกฤษโดยการแอบลักลอบสะสมอาวุธ และให้ยอห์ช วอชิงตันเป็นแม่ทัพในการทำสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ โดยมีทอมัส เจฟเฟอร์สันเป็นผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพอเมริกัน ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2319 หลังจากนั้นกองทัพอเมริกันก็ได้รับชัยชนะเหนือกองทัพอังกฤษ ในที่สุดลอร์ดคอร์น วอลลิส แม่ทัพอังกฤษก็ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อกองทัพอเมริกันซึ่งมี ยอร์ช วอชิงตันเป็นผู้นำ อเมริกาได้กลายเป็น ประเทศสหรัฐอเมริกา The United States of America


    ยุคเริ่มต้นประเทศสหรัฐ อเมริกา

    หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศอิสรภาพและรวมประเทศได้แล้ว ความเจริญรุ่งเรืองด้านการค้าอื่นๆ ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ และได้มีการขุดพบทองคำที่แคลิฟอร์เนีย และมหาชนทั้งหลายก็ได้หลั่งไหลไปยังดินแดนแห่งนี้เพื่อขุดหาทองคำ


    สมัยอับราฮัม ลินคอร์นเป็นประธานาธิบดีของ อเมริกา พวกเกษตรกรชาวเหนือของประเทศที่ได้พัฒนาการเกษตรไปมากและเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นชาวผิวขาวจึงได้มีความคิดที่จะเลิกทาสที่ชาวอเมริกันนำตัวมาจากทวีปแอฟริกา แต่รัฐทางใต้ที่ต้องใช้แรงคนมากในการทำการเกษตรไม่อยากให้เลิกทาส จึงมีการโต้ปัญหากันใหญ่โตเรื่องเลิกทาส


    เมื่อประธานาธิบดีลินคอร์นประกาศเลิกทาส สงคราวกลางเมือง อเมริกา ระหว่างฝ่ายใต้และฝ่ายเหนือก็เกิดขึ้น สงคราวกลางเมืองที่เกิดขึ้นนี้กินระยะเวลายาวนานถึง 4 ปี และจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเหนือ นับจากนั้นมา ประชาชนทุกคนในอเมริกกาก็เป็นไท มีอิสระเหมือนกันหมดทุกคน แต่ประธานาธิบดีลินคอร์น ที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 นั้นถูกลอบสังหาร ณ โรงละครในกรุงวอชิงตัน ในวันที่ 14 เมษายน 2408 โดยนายจอห์น วิลเกต บูท

    ภายหลังสงคราวกลางเมืองได้ประมาณ 40 ปี สหรัฐอเมริกาได้ประกาศสงครามกับประเทศสเปน โดยสาเหตุเกิดจากประชาชนบนเกาะคิวบาที่เป็นเกาะของสเปนได้ก่อการจลาจลขึ้น สเปนจึงยกทัพเรือมาปราบ แต่กระทบกระทั่งไปยังเรือรบสหรัฐอเมริกาซึ่งลอยลำอยู่แถวนั้นด้วย สงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายสเปนหลังจากการสงบศึกกับสเปน สภาคองเกรสก็อนุมัติเงิน 50 ล้านเหรียญสำหรับให้อเมริกาขุดคลองปานามาจากบริษัทฝรั่งเศสที่ขุดค้างอยู่ และได้ขุดสำเร็จเรียบร้อยในปี 2456

    ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ของสหรัฐอเมริกา
    เมื่อเกิดสงครามโลกขึ้นครั้งแรกนั้น สหรัฐอเมริกาประกาศตัวเป็นกลางแต่เครื่องบินรบเยอรมันได้ทิ้งระเบิดให้เรือโดยสารระหว่างอังกฤษและอเมริกา ให้ทำชาวอเมริกันเสียชีวิตจำนวนมาก ประธานาธิบดีวิลสันจึงได้ประกาศสงคราม ผลกระทบจากสงครามครั้งนี้ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตประมาณ 77,000 นายหลังจากนั้น แฟรงคิน ดี รูสเวลต์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและได้เปลี่ยนให้ชาวอเมริกันดื่มเหล้าเบียร์โดยเสรี จึงทำให้มีการนำเข้าเบียร์จำนวนมากจากประเทศเยอรมัน และ ประธานาธิบดีรูสเวลต์ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์เพราะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนเดียวที่อยู่ในตำแหน่ง 4 สมัย แต่เสียชีวิตในสมัยที่ 4 เฮนรี ทรูแมน จึงเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป


    ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ของสหรัฐอเมริกา

    ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร สหรัฐอเมริกาประกาศตัวเป็นกลาง แต่กองทัพอากาศญี่ปุ่นได้ถล่มเพิร์ล ฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกาในเกาะฮาวาย ทำให้สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงคราม


    เมื่อสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามแล้ว ก็ได้ทำสงครามกับฝ่ายอักษะอย่างเข้มแข็งโดยส่งกองกำลังไปต่อสู้กับฝ่ายอักษะทั่วโลก รวมทั้งในทวีปเอเชียด้วย ต่อมา เยอรมันยอมแพ้สงครามแต่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ และในช่วงเวลานั้น อัลเบิร์ต ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อสายยิวได้คิดค้นระเบิดปรมาณูเป็นผลสำเร็จ อเมริกันจึงทิ้งระบิดปรมาณูลงฮิโรชิมาและนางาซากิ ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม

    ยุคปัจจุบันของอเมริกา
    หลังจากชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สองสหรัฐอเมริกานำความพยายามที่จะสร้างสถาบันการรักษาความปลอดภัยไม่เพียงแต่ใหม่เช่นสหประชาชาติ “United Nations”(UN) และนาโต้(NATO) แต่ยังรวมไปถึงระบอบใหม่เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การพัฒนาและความเจริญรุ่งเรือง เช่นแผนมาร์แชลล์ (Marshall Plan) ระบบการเงิน เบรตอง วู๊ดส์ (Bretton Woods) ตลอดจนการตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าและภาษีศุลกากร เพื่อส่งเสริมการค้าเสรี


    ช่วงทศวรรษที่ 1990 – นโยบายต่างประเทศของอเมริกันมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จของการรวมตัวกับพันธมิตรในยุโรป ที่สหรัฐอเมริกาได้ออกเดินทางไปร่วมสร้างเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อความสงบ ไม่มีการแบ่งแยก และเป็นประชาธิปไตยยุโรป (The European Union) ที่มีความพยายามอย่างมากในตอนนั้นมีสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศที่จะรวมตัวกันเป็น สมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปในปี 2004 –ซึ่งจะเป็น “จุดโฟกัส” สำหรับนโยบายที่หลากหลายที่เป็นปัญหาล้อมรอบยุโรปในขณะนั้น เช่นองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ “The North Atlantic Treaty Organization” (NATO) ที่มีวิวัฒนาการมาจากพันธมิตรป้องกันร่วมกันในการรักษาความปลอดภัยของยุโรปเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับรัสเซีย


    แต่ความคืบหน้าได้ช้าลง เนื่องจากยังคงมีความสำคัญในทวีปเอเชีย นั่นคือความสัมพันธ์ของสหรัฐกับสองคีย์คู่ค้าในภูมิภาคคือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่ยังคงเป็นรากฐานของความมั่นคงในภูมิภาค และประชาธิปไตยกำลังหยั่งรากลงในเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและไต้หวัน และสหรัฐมีส่วนร่วมกับประเทศจีน ที่จะพยายามดึงให้ปักกิ่งอย่างช้าๆเพื่อให้เข้ามาร่วมในเวทีของเศรษฐกิจโลก

    ความสำเร็จของนโยบายอเมริกันในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา หมายความว่าไม่มีอำนาจไหนที่จะทัดทาน –ไม่มีรัสเซีย ไม่มีเยอรมนี ไม่มีสหภาพยุโรป และไม่จีนหรือแม้แต่ญี่ปุ่น -เป็นภัยคุกคามต่อความยิ่งใหญ่ในยูเรเซีย

    ในยุคใหม่นี้– นโยบายต่างประเทศของอเมริกันจะหมุนไปโดยไม่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ แต่มันจะถูกกำหนดโดยการผนึกพลังความแข็งแกร่งของอเมริกาเอง—ทั้งทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมือง–ในกิจการโลกและกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ครอบคลุมการเจริญเติบโตของการเมืองโลก


    สหรัฐอเมริกาวันนี้–คือผู่ที่มีอำนาจมากที่สุดในระดับโลกอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นกำลังทหารบนบก ในทะเล หรือในอากาศ– ขยายไปถึงทุกจุดบนโลก ความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจและการค้า อุตสาหกรรม การเมืองและวัฒนธรรม เป็นอเมริกันทั้งนั้น-โจเซฟ ไน (Joseph Nye) เรียกมันว่า “พลังอย่างอ่อน”(soft power) ที่แพร่ไปอย่างกว้างขวางที่ทุกสถาบัน ในเกือบทุกประเทศ ได้สะท้อนออกมาให้เห็นถึงความสนใจในชาวอเมริกัน และทำให้ตำแหน่งของอเมริกาในโลกมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองชนิดที่ไม่มีประเทศอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์เคยได้รับมาก่อน

    ด้านเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอาจจะไม่ขยายขอบเขตมากกว่าคู่แข่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีแนวโน้มที่จะตกอยู่เบื้องหลัง เศรษฐกิจสหรัฐฯได้พิสูจน์ตัวเองอย่างน้อยเป็นคนเก่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญของโลก และตระหนักถึงการเพิ่มผลผลิตโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

    แต่เป็นไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่เข้าร่วม (win-win-game) ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องทำเช่นเดียวกัน .

  3. การศึกษาอเมริกา

    ประเทศอเมริกามีระบบการศึกษาที่แบ่งออกเป็นดังนี้
    – ระดับอนุบาล (Kindergarten) โดยเริ่มเรียนตั้งแต่อายุ 3 ขวบ
    – ระดับประถมศึกษา (Elementary School) เริ่มเรียนเมื่ออายุ 6 ขวบและเรียน ตั้งแต่ Grade 1- Grade 6 นักเรียนต่างชาตที่จะเข้าเรียนระดับนี้จะต้องเข้า เรียนในระดับเอกชนเท่านั้นเพราะรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาจะไม่ออกวีซ่าให้ นักเรียนไทยที่ได้ I-20 จากโรงเรียน ระดับประถมและมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนของรัฐที่เรียกว่า Public School
    – ระดับมัธยมศึกษา (Junior High School/ High School) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หรือ Junior High School เรียนตั้งแต่ Grade 7- Grade 8 ส่วนในระดับมัธยมตอนปลาย หรือ Senior High School นั้น จะเรียน ตั้งแต่ Grade 9- Grade 12 ซึ่งเมื่อเรียนถึง Grade 12 เมื่อ อายุประมาณ 18 ปี ก็จะสําเร็จการ ศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นักเรียนในระดับนี้ ต้องเรียนวิชาพื้น ฐานคือ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์สังคมศึกษา และอาจต้อง เรียนภาษาต่างชาติ หรือพลศึกษาด้วย นักศึกษาต่างชาติที่เข้าไปเรียน ต่อ ในระดับมัธยมศึกษา ประถมศึกษาในประเทศอเมริกามีจํานวนไม่มาก นัก และส่วนใหญ่จะเข้าเรียนกับโรงเรียนประจําของเอกชน หรือ Boarding School มากกว่า แม้ว่าในปัจจุบันโรงเรียนของรัฐบาลจะมีนโยบาย เปิดรับ นักศึกษาต่างชาติมากขึ้น แต่นักศึกษาส่วนใหญ่ ก็ยังคงสมัครเข้าเรียนกับ โรงเรียนประจํา เนื่องจากโรงเรียนรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดหาหอพัก ให้ได้ นักเรียนไทยส่วนใหญ่ที่เรียนในระดับนี้มักสําเร็จการศึกษาชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วจึงค่อยไปเข้าเรียนต่อ Grade 10 ใน ประเทศอเมริกา
    – ระดับอุดมศึกษา (High Education) สถาบันในระดับอุดมศึกษาในอเมริกามี มากกว่า 3,000 ทั้งรัฐบาลและเอกชน โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้
    วิทยาลัยชุมชน (Community College/ Junior College) เป็น วิทยาลัยแบบ 2 ปีที่สามารถเชื่อมต่อกับการเรียนในมหาวิทยาลัย ได้สามารถ เลือกเรียนได้ใน 2 หลักสูตร คือ

        1.1 Transfer Track เป็นหลักสูตรที่เป็นวิชาพื้นฐาน 2 ปีแรกของการ ศึกษาระดับปริญญาตรี โดยนักศึกษาจะลงเรียนรายวิชาบังคับ (General Education Requirements) เป็นเวลา 2 ปีจากนั้น นักศึกษา สามารถโอนหน่วยกิต (Transfer) ไปมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและ เอกชน เพื่อศึกษาต่อในระดับปี3 โดยที่เกรดเฉลี่ยที่นักศึกษาทําได้ใน ระหว่าง 2 ปีนี้ จะเป็นตัวกําหนดว่า นักศึกษาจะได้รับการตอบรับเข้า มหาวิทยาลัย ที่อยู่ในอันดับยากง่ายเพียงใด
       1.2 Terminal/Vocational Track เป็นหลักสูตรอนุปริญญาสาย วิชาชีพ หลังจาก 2 ปีแล้ว นักศึกษาจะได้รับวุฒิอนุปริญญา (Associate Degree) ทางสาขาวิชาที่เลือก อาทิเช่น บัญชีคอมพิวเตอร์เป็นต้น
    – วิทยาลัย (College) จะเป็นหลักสูตรเรียน 4 ปีและบางแห่งเปิด สอนระดับปริญญาโทด้วย วุฒิบัตรระดับปริญญาตรีและโทจาก College ทั้งของรัฐและเอกชนในสหรัฐฯ มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่า University ทุกประการ
    – มหาวิทยาลัย (University) เปิดสอนระดับปริญญาตรีโท และเอก

    – สถาบันเทคโนโลยี(Institute of Technology) เปิดสอนระดับ ปริญญาตรีโท และเอก โดยมุ่งเน้นการเรียนสาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี – – – – และเทคโนโลยี การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะมีข้อแตกต่าง กล่าวคือ ถ้านักเรียน ที่มีถิ่นฐานในรัฐหนึ่ง จะข้ามมาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยอีกรัฐหนึ่ง จะ ต้องเสียค่าเล่าเรียนแพงขึ้น ที่เรียกว่า Out of States Tuition และถ้า นักศึกษามาจากประเทศอื่น จะต้องเสียค่าเล่าเรียนมากกว่าขึ้นไปอีก

รับทำวีซ่าอเมริกา

ติดต่อเรา
Study Square Co.,Ltd. 5 Therd Rachan 1 Lane, Therd Rachan Rd, Srikan, Donmuang, Bangkok, 10210 Thailand
Tell : 089-1261024, 02-9291231 (พี่กฤต)
Email :studysquares@hotmail.com
Face Book : https://www.facebook.com/Studysquare.co.th/,
https://www.facebook.com/sqstudyabroad/
 Twitter :https://twitter.com/aittit

Google Plus

Youtube

Line ID : krittapas_st
Facebook Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น